วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2560

บันทึกชีวิต


ทุกสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน

          ประวัติในวัยเด็ก

ผมนายหนึ่ง อายุ 49 ปี (ปี 2560) เป็นบุตรชายคนโตในจำนวนพี่น้อง  3 คน ของ เกิดเดือนมกราคม 2511 ปีมะแม ในวัยเด็กได้ไปอยู่กับคุณตา คุณยายที่ ต.ไทรบุรี อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ทางภาคใต้ ต่อมาญาติทางพ่อได้ขอให้ขึ้นมาอยู่ที่ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี มาอยู่กับคุณย่า-อากง ซึ่งทำมาค้าขายอยู่ที่ตลาดอำเภอบ้านหมี่ ลพบุรี ไม่แน่ใจว่าอยู่กับคุณย่านานเท่าใด แต่คงใกล้จะต้องเข้าเรียนชั้นอนุบาล จึงได้ย้ายมาเรียนที่อนุบาลชัยนาท ที่ซึ่งแม่ทำงานอยู่ตอนนั้นจำได้ว่าแม่รับราชการที่ สนง.อัยการ จ.ชัยนาท ส่วนพ่อเป็นนายช่างชลประทาน (คงอยู่ที่ชัยนาทบ้างและย้ายไปที่อื่นๆบ้างตามธรรมเนียมการรับราชการกรมชลประทาน ) ชีวิตในวัยเด็กตั้งแต่เล็กๆได้เรียนหนังสือที่ จ.ชัยนาทจนถึงชั้น ป.5 ย้ายมาเรียนชั้น ป.6  ที่ อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ เนื่องจากพ่อย้ายมารับราชการที่โครงการสูบน้ำเขาแก้ว ซึ่งโครงการนี้อยู่ในเขตอำเภอพยุหะคีรี เป็นที่เดียวที่พ่อผมทำงานอยู่ในเขตเมือง มีความเจริญพอสมควร เพราะอยู่ในตัวอำเภอ ข้าพเจ้าเรียนหนังสือร่วมกับน้องๆอีก 2 คนเพียงปีเดียว ก็จบชั้น ป.6

เริ่มจากอ้อมอกพ่อแม่  เพื่ออนาคตที่ดีกว่า

ชีวิตก็หักเหอีกครั้งพ่อแม่เห็นว่าสนิทกับทางคุณย่า อากง จึงให้มาเรียนต่อ ม.1 - ม.3 ที่ ร.ร.บ้านหมี่วิทยา อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ตอนนี้ผมเริ่มโตขึ้นอายุประมาณ 13 ปี เริ่มเรียน ม.1   มีเพื่อนๆเยอะ จนโตมาแยกย้ายกันไป ยังติดต่อกับเพื่อนๆอยู่บ้างหลังจากเรียนจบ ม.3 แล้วญาติๆรุ่นราวคราวเดียวกัน ชักชวนให้มาเรียนต่อ ม.4-ม.6 ที่ กรุงเทพฯ ตอนนั้นลูกๆของอา มาเรียนอยู่ กทม.นานแล้ว ผมจึงได้เปลี่ยนที่เรียนอีกครั้ง คราวนี้มาเรียนต่อ ม.4- ม.6 ตอนนั้นโตแล้วอายุ 15-18 ปี เรียนต่อ ม.ปลายที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส เขตดุสิต กทม. การเรียนที่นี่สนุกมาก ได้เพื่อนชาวกรุงและที่มาจาก ตจว. เหมือนกันหลายคน นับเป็นครั้งแรกที่เข้าศึกษาใน ร.ร.ชายล้วน เปลี่ยนเครื่องแบบเป็นเสื้อขาว กางเกงดำ ปักอักษรย่อ ร.ว. มีเข็มเครื่องหมาย ม.ปลายติดเหนืออักษรย่อของโรงเรียน

ชีวิตและการเรียนที่ กทม. ช่วยเปลี่ยนตัวตนของเราจากเงียบๆ เรียบร้อย ไม่ค่อยถนัดทางพูดจานัก มาเป็นพูดคุยมากขึ้น กล้าแสดงออกมากขึ้น สำหรับผลการเรียนนั้นยังอยู่ในเกณฑ์ดี พักอยู่กับอา และลูกพี่ลูกน้องอีกหลายคนเราสนิทกันมาก เรียน เล่น และทำกิจกรรมร่วมกันหลายอย่าง พอปิดเทอมผมจะกลับบ้านที่ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ใช่ครับพ่อย้ายอีกแล้วคราวนี้เป็นนายช่าง หน.โครงการชลประทานบางพระครู น้องสาวและน้องชาย ก็ได้ย้ายตามพ่อแม่ มาเรียนที่อยุธยาด้วย การเรียนที่ กทม. 3 ปีนี้  ทำให้ชีวิตและอนาคตเปลี่ยนแปลงหันเหอีกครั้ง พอเรียนจบชั้น ม.6 เพื่อนๆเริ่มแยกย้ายไปหาที่เรียนต่อที่อื่นๆ บางคนเรียนเป็นทหาร เป็นหมอ ป่าไม้ หลายคนทำธุรกิจส่วนตัว

ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชีวิต ห้วงเวลาอันสนุกสนานและยาวนาน

ผมตัดสินใจเรียนต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เขตบางกะปิ กทม. ได้รหัสประจำตัว 29-------------- ซึ่งแสดงว่าเข้าเรียนในปี พ.ศ.2529 ที่รามฯชีวิตเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ ในช่วงแรกเนื่องจากยังไม่มีที่พัก จึงได้มาพักกับญาติทางพ่อ คืออาแป๊วที่บ้านอาแถวมหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 วิทยาเขต บางนา ซึ่งตอนนั้นเป็นปี พ.ศ. 2529 บางนา ยังไกลมากสำหรับหลายคน    ห้างดังๆที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ยังไม่มีเลย ผมเรียนที่นี่พักอยู่กับอาแป๊ว ประมาณ 1 ปี พอขึ้นปี 2 ต้องไปเรียนที่หัวหมาก บางกะปิ  ช่วงนั้นพอดีเอ้ก น้องสาว จบ ม.6 จากอยุธยาพอดี และตามขึ้นมาเรียนที่รามฯ   ก็ได้ย้ายที่พักมาอยู่แถวหน้าราม ตรงข้ามสนามกีฬาหัวหมากปัจจุบัน  ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสขออนุญาตพ่อแม่ย้ายที่พักมาเรียนต่อที่รามฯ คือมาพักที่ซอยรามคำแหง 53 ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับที่พักของน้องสาว    จะได้ไปเรียนสะดวกมากขึ้นแค่เดินจาหอพักมารามฯ ประมาณ 1 กม. ตอนนั้นเริ่มมีเพื่อนที่รามคำแหงมากขึ้น รู้จักหลายคนส่วนใหญ่เป็นคนมาจาก ตจว.ด้วยกันทำให้สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว เรื่องการเรียนวิชากฎหมายเป็นเรื่องยากพอสมควร  ชีวิตการเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย สอนวิชาชีวิตให้ผมมากมาย ที่ซึ่งไม่มีใครหรือที่ไหนสามารถสอนได้  สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่พวกเรา นศ.รามฯ ที่อยู่หอพักประสบพบเจอ และสัมผัสมันได้อย่างลึกซึ้ง

ช่วงนั้นใช้ชีวิตอยู่หน้ารามบ้างหลังรามบ้างหลายปี ย้ายที่พักไปเรื่อยๆหลายแห่งตามแต่เหตุปัจจัยที่เข้ามา ณ เวลานั้นๆ สำหรับเรื่องเรียนก็ไปเรียนทุกวันที่มีการสอน ตอนกลับจากออกค่ายเพื่อนเริ่มเยอะเลยไม่ค่อยได้เข้าเรียน คิดว่ามาอ่านเอาเองได้   ทำให้อ่านหนังสือไม่ทัน การคบเพื่อน การใช้ชีวิตที่รมฯเสรีมากๆ มีทั้งผลดีและผลเสียหากควบคุมตัวเองไม่ได้จะเสียหายมากกว่า  หลายปีที่ศึกษาในรามนั้นแต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า เหมือนไม่มีอะไรจะทำมากนัก เมื่อเวลาผ่านไปหลายปียังเรียนไม่จบเสียทีเริ่มกังวลมากขึ้น ต่อมามีเพื่อนมาชักชวนให้ไปทำงานพิเศษ  เสิร์ฟอาหารที่โรงแรมเอเชีย ได้ค่าจ้างวันละ 200 ซึ่งถือว่าเยอะนะในสมัยนั้น เมื่อได้ทำงานติดต่อกันหลายๆวันเริ่มมีเงินเก็บมากขึ้นซื้อหาสิ่งของให้ตัวเองได้ ในช่วงใกล้เรียนจบบีชวนไปขายเครื่องเงินหน้ารามคำแหง บริเวณตรงข้ามซอยรามฯ 24  ขายดีมากในช่วงแรกๆ หลังจากขายได้ 6 เดือน เราก็เรียนจบปริญญาตรี ทำให้บีต้องออกมาขายของนเดียว  เลยค่อยๆเลิกไปเอง

ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเปิดอย่างรามคำแหงมีความอิสระเสรี ช่วยให้ผมมีเวลาว่างอย่างมากมายหลังการเรียน ตอนนั้นเริ่มโตเป็นหนุ่มอายุประมาณ 20 ปีแล้ว  การเรียนที่นี่เป็นตลาดวิชาใครอยากเรียนอะไรก็ได้ตอนนั้นค่าเทอมหน่วยกิตละ 18 บาท ส่วนใหญ่จะลงทะเบียนเรียนกันคนละ 5-6 วิชา/เทอม หนึ่งปีมี 2 เทอม และอาจมีภาคฤดูร้อนด้วย ช่วงนั้นค่าลงทะเบียนเรียนน่าจะเทอมละ 400-600 บาท/คน แล้วแต่ว่าใครลงเยอะลงน้อย บางคนลงน้อยๆ เพราะทำงานประจำด้วยเรียนไปด้วย  ประมาณปี 2530 เพื่อนสนิทในรามฯชวนไปออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทที่ อ.สิชล   จ.นครศรีธรรมราช ทำงานให้กับพี่น้องในชนบทที่ห่างไกลมันสนุก ตอนนี้มีเพื่อนเยอะแยะ ได้อะไรอีกหลายอย่างที่ชีวิตการทำงานอาจไม่พบเจอ หรือถึงจะมีประสบการณ์ที่ได้รับก็จะไม่เหมือนกันแน่นอน เราใช้ชีวิตชาวค่าย 1 เดือน มีเพื่อนๆร่วมค่ายหลายชีวิตทั้งชายและหญิงร่วม 60 ชีวิต ทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง และรุ่นเดียวกัน พอกลับมาจากการออกค่ายก็จะนัดพบนัดเจอกันอีก ประสานพัฒนาสัมพันธ์กันเรื่อยมาอีกหลายปี ตอนนั้นอุปกรณ์สื่อสารอย่างเพจเจอร์ยังไม่มี โทรศัพท์มือถือยังไม่เกิดยังไม่มีใครรู้จักเลย 

ผมพาตัวเองและเพื่อนๆไปออกค่ายอีกหลายครั้งหลายพื้นที่ของประเทศไทยทั้งภาคเหนือภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ ทำให้เติมเต็มความรู้และประสบการณ์อย่างมากมาย เรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหา จากการทำงานการอยู่ร่วมกันหลังจากกลับจากค่ายทุกครั้งพวกเราจะนัดไป   กินข้าว ไปเที่ยว ไปเรียนหนังสือกัน บางคน บางกลุ่ม บางค่าย ได้รู้จักและคบหากันต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ทำให้หลายปีในรั้วมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้ารู้จักทั้งทุกข์และสุขคละเคล้ากันไป นี่แหละรสชาติของชีวิต บางครั้งเศร้า เหงา บางคราวสดใส ร่าเริง ต่อมาเมื่อศึกษาถึงชั้นปีที่ 4 ได้พบได้รู้จักกับบีซึ่งเป็นรุ่นน้องที่รามฯ เนื่องจากรู้จักกับเพื่อนของบีมาก่อนต่อมาจึงรู้จักบีว่าที่ภรรยาที่แสนน่ารัก ตอนนั้นเราเรียนปี 4 ได้รู้จักความรักอย่างแท้จริง ได้ผูกพันอย่างลึกซึ้งกับว่าที่ภรรยาในตอนนั้นนั่นเองจนกระทั่งจบการศึกษาที่รามฯก็มีเธอคนนี้อยู่เคียงข้างตลอดมา การมีแฟนมีคนๆหนึ่งมาแชร์ทุกย่าง ทำให้รู้จักการแบ่งปัน การแชร์ความรู้สึก เรานัดดูหนังสือด้วยกันไปเรียนพร้อมกัน ชีวิตในรามฯช่วงนี้มีความสุข เพราะเพื่อนๆก็เริ่มมีแฟนกันแล้ว เราแบ่งปันเรื่องราวของกันและกัน เริ่มวาดฝันว่าอนาคตจะใช้ชีวิตร่วมกัน
 
ความรักที่ประทับใจ // ชีวิตการแต่งงานราบรื่น

เรื่องราวชีวิตของผมเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้วนะครับ พระเอกได้พบเจอนางเอกในชีวิตจริง เรารักและสนิทสนมกันมาก ถึงแม้จะมีเรื่องราวบางอย่างทำให้ไม่เข้าใจกัน และมีอุปสรรคที่ไม่คาดคิดมาขวางกั้นแต่เราได้ฝ่าฟันกันมาจนถึงวันวิวาห์ เราคบหาดูใจกันมานานถึง 13 ปี ส่วนบีได้เปิดร้าน  woman ที่ห้างมาบุญครอง กรุงเทพฯ ขายเสื้อผ้าชุดราตรี ช่วงแรกจ่ายค่าเช่าร้านเดือนละ 34,000 บาท ปัจจุบันจ่ายค่าเช่า 60,000 บาทงานแต่งงานของเราจัดที่หอประชุมศาลาประชาคม อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น     ซึ่งเป็นบ้านเกิดของบีนั่นเอง ญาติพี่น้องเพื่อนๆร่วมงาน ทั้งสองฝ่ายมาร่วมแสดงความยินดีในงานแต่งงานกันคับคั่ง ตอนนั้นเป็นห้วงเวลาแห่งความสุขที่สุดในชีวิตอย่างแท้จริงของทั้งสองคน เราได้อดทนมุมานะทำงานและทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งๆที่อยู่ในสภาพที่ไม่มีความพร้อมอะไรเลย   คือเริ่มต้นด้วยเงินไม่ถึงแสนบาท แต่สามารถต่อยอดมาได้  จนถึงกับมีความพร้อมก่อนคนวัยเดียวกันอีกหลายคน แต่กว่าจะมาถึงวันนี้เราต้องต่อสู้กันมามากมาย ธุรกิจในห้างใน กทม. ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  ใช้เงินเยอะต้องขายของให้ได้เงินมากๆ อย่างน้อยก็ต้องพอค่าเช่าร้าน ค่าเลี้ยงดูลูกน้อง

หลังจากใช้ชีวิตรักได้หลายปีแล้ว ยังไม่มีทายาทเสียที ทั้งๆที่ได้ลงหลักปักฐานชีวิตการงานมั่นคง เรื่องร้านก็ขายดีมากๆจนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เราได้ตระเวนขับรถออกไปพักผ่อน หาของอร่อยกินกันในเวลาว่างๆ แถวถนนราชพฤกษ์ซึ่งตัดใหม่ ในตอนนั้นเป็นช่วงปลายปี 2548  ตอนนั้นคุยกับพ่อ  พ่อบอกว่าลูกน่าจะหาซื้อบ้านอยู่ได้แล้วนะ ก็เลยชวนบีไปดูบ้านจัดสรรหลายที่หลายโครงการ บ้านหลังนี้เราไปดูมา 3 ครั้ง อยากได้เพราะเป็นบ้านเดี่ยวสวยถูกใจ เนื้อที่ประมาณ 71 ตารางวาชื่อหมู่บ้านเบญญาภา เราเลือกหลังหัวมุมแปลงสวยมาก บ้านหลังนี้ใช้เวลาสร้างประมาณ 6 เดือน จึงเสร็จเรียบร้อย สวยงามถูกใจทุกคน พ่อได้มาร่วมพิธีเอาพระเข้าบ้าน ในช่วง ต.ค. ปี 2548 พ่อแม่บีก็มาทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข ที่เห็นเรามีฐานะมั่นคง มีบ้านราคาร่วม 6 ล้านบาท ย่านถนนราชพฤกษ์  อยากได้อะไรก็ได้ชีวิตช่วงนี้มีความสุขมากๆ มีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้นเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ตำแหน่งหน้าที่การงานได้สูงขึ้นเรื่อยๆ เราได้อยู่อาศัยในบ้านหลังใหม่เกือบ 3 เดือนแล้วล่ะ จนกระทั่งข่าวร้ายที่สุดมาเยือนในช่วงเช้า คือวันที่ 1 มีนาคม 2549 พ่อได้เสียชีวิตลงเพราะหัวใจวายในวัย 64 ปี ที่ รพ.พญาไท 3 กทม. ความวุ่นวายในการจัดงาน จัดการเรื่องมรดกใช้เวลาอยู่นานหลายเดือน ทุกอย่างได้เสร็จสิ้นลงไปด้วยดีตกลงเราได้สูญเสียพ่อแม่ไปทั้งสองคนแล้ว สิ่งที่ได้มาคือมรดกเป็นที่นา 12 ไร่  ที่ชัยนาท ครอบครองอยู่ 2 ปี ต่อมาเราก็มีความจำเป็นต้องขายออกไปในราคา 6.2 แสนบาท  (เอาเงินส่วนใหญ่ไปทำร้าน jacket ชั้น 3 MBK.)

ชีวิตที่เติมเต็มสมบูรณ์

ประมาณปี 2547 ได้ไปศึกษาอบรมที่ อ.ชะอำ เพชรบุรี 3 เดือน กลับมาเดือน ก.ย. 2547   ใช้ชีวิตทำงานไปตามปกติจนกระทั่งบีบอกว่าประจำเดือนไม่มา จึงพากันไปหาซื้ออุปกรณ์มาตรวจวัด เมื่อมั่นใจว่าจะมีลูกอย่างแน่นอนความรู้สึกตอนนั้นดีใจมากๆ รอคอยวันนั้นตลอดเวลา สำหรับชีวิตการรับราชการตอนนั้นอยู่ระดับ 6 และพาไปฝากท้องกับคุณหมอที่ รพ.วชิระ เขตดุสิต กทม. กำหนดการผ่าท้องคลอดที่ได้ตกลงกันไว้คือ ศุกร์ที่ 8 ก.ค.2548 บีไปนอน รพ.ก่อน 1 คืนเพื่อเตรียมการต่างๆคืนนั้นฝนตกพรำๆแต่ไม่หนักมากนัก บีอยู่ รพ. 7 วันพอดี เราพาทั้งแม่และลูกออกมาพักฟื้นต่อที่หอพักวนิดา  รู้สึกว่าบีอ่อนเพลียและต้องการพักผ่อนพ่อและญาติๆมาเยี่ยมทั้งที่ รพ.และที่หอพักวนิดา ตอนนี้เริ่มจ้างเด็กมาช่วยทำงานบ้านเป็นครั้งแรก จะได้มีคนอยู่เป็นเพื่อนเวลาบีอยู่ห้องและตอนเราออกไปทำงาน บีพักฟื้นร่างกายประมาณ 1 เดือนเต็มๆ พอร่างกายแข็งแรงขึ้น  ก็ออกมาดูแลที่ร้านเหมือนเดิม ตอนนี้สิ่งใหม่ๆสำหรับครอบครัวเราคือ เด็กที่มาช่วยทำงานบ้านมาพักอยู่กับเราที่บ้านเลย ช่วยเลี้ยงน้อง ดูแลทำงานบ้านไปด้วย
 
นกน้อยเริ่มสร้างรัง

ย้อนเวลากลับไปนิดนึงก่อนจะมีลูก จำได้ตอนนั้นประมาณปลายปี 2548 เราได้พากันขับรถออกมาหาอะไรกินช่วงวันหยุดราชการ ขับรถผ่านถนนราชพฤกษ์ อ.บางกรวย นนทบุรี พบว่าในย่านนี้เป็นทำเลที่เหมาะสมในการอยู่อาศัย คือไม่ไกลจากย่านในเมืองที่ทำงานของเราและห้างมาบุญครองมากนัก การเดินทางสะดวกสบาย ใช้เวลาไม่นานก็สามารถมาถึงย่านการค้า ปิ่นเกล้า สยาม ทำให้ชีวิตของเราเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนอย่างมากอีกครั้งหนึ่ง คือมีครบทุกอย่างแล้ว รถ บ้าน และลูกรวมเป็นครอบครัวที่น่ารัก อบอุ่น มั่นคง การทำบุญขึ้นบ้านใหม่นี้ จัดขึ้นในเดือน ก.พ.ปี 2550 อากาศยังเย็นสบายไม่ร้อน เพื่อนๆที่ทำงานและญาติพี่น้องทั้งสองฝ่ายมาร่วมทำบุญกันอย่างคึกคัก ใช้เงินไปประมาณ 3 หมื่นบาท ได้ทำที่เก็บกระดูกพ่อแม่ไว้ที่วัดบางไกรนอก  ซึ่งอยู่หลังหมู่บ้านเรานั่นเอง

เมื่อบ้านสร้างเสร็จเรียบร้อย เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านเบญญาภาเมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2549 ตอนนั้นลูกยังเล็กประมาณ 6 เดือน พอเข้ามาอยู่เราสองคนเริ่มหาซื้อของใช้ที่จำเป็นเข้าไว้ในบ้าน เช่น เครื่องกรองน้ำ เครื่องซักผ้า เตียง โต๊ะ ตู้ เครื่องครัวต่างๆ เครื่องทำน้ำอุ่น เปลี่ยนฝาครอบดวงไฟในบ้าน จัดสวน  ฉีดยากำจัดปลวก ล้างแอร์ ปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้ให้ร่มเงาเวลาแดดจัด หากคิดรวมค่าต่อเติมซ่อมแซมตกแต่ง บำรุงรักษาบ้านทั้งช่วงเวลาที่อยู่อาศัยตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบันนี้ (รวมถึงห้วงน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ด้วยน่าจะใช้เงินไปไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท) การซื้อบ้านในครั้งนี้ นับว่าได้ระดมสรรพกำลังไปทั้งหมดในการดูแลรักษา เป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของเราสองคน ในขณะที่บ้านเรามีเด็กสลับสับเปลี่ยนมาทำงานบ้านอีกหลายคนจนกระทั่งได้เลิกจ้างอย่างเด็ดขาดในปี 2555 เนื่องจากต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายที่สูงมาตลอด   ทีนี้ก็ได้อยู่กัน 3 คนอย่างแท้จริงต้องทำงานบ้านเอง  เหนื่อยกว่าเดิมแต่ก็ยังรู้สึกว่าเราตัดสินใจถูกแล้วล่ะ

ตอนนี้ไม่ได้จ้างใครมาหลายปีแล้ว รู้สึกได้อยู่กันเป็นส่วนตัว คือ พ่อแม่ ลูก รวม 3 คน อย่างแท้จริงเริ่มทำงานบ้านเอง ซักผ้าเอง ช่วยกันทำงานเท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย โดยจะจ้างเด็กมาช่วยทำงาน 1 ครั้ง ให้มาทุกวันเสาร์ รู้สึกประหยัด สะดวก ส่วนเสื้อผ้าทำงานของเราก็จะส่งร้านซักรีดใกล้ๆบ้าน ค่าจ้างประมาณ 1,700 บาท/เดือน รวมค่าส่งผ้าถึงบ้านด้วย ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าไวไฟอินเตอร์เนต  รวมเดือนละ 4,000 บาท ไม่รวมค่าโทรศัพท์มือถือของพวกเรา 3 คน ซึ่งจะมีค่าแพ็กเก็จต่างกันออกไปของ   แต่ละคน

 การตัดสินใจที่ผิดพลาดนำมาสู่ความยุ่งยากภายหลัง

ถึงแม้ว่าช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเบญญาภา จะเป็นห้วงเวลาที่มีแต่ความสุข สบาย ภาคภูมิใจมากๆ แต่ลึกๆแล้วเราสองคนยังกังวลว่ารายจ่ายค่างวดบ้านที่สูงถึง 30,000 บาท/เดือน ในขณะที่รายจ่ายอื่นๆก็มีมาก อาจทำให้ลำบากพอขึ้นปีที่ 2 ในการผ่อนบ้าน เราเริ่มคุยกันว่าเงินไม่มีเหลือเก็บเลย ใช้ผ่อนบ้านจนหมดจะทำอย่างไรดี ได้ข้อสรุปในตอนนั้นว่าหากหาเงินได้ไม่พอ ก็จะขายบ้านแล้วไปหาที่อยู่ใหม่ แต่พออยู่มานานเข้าหลายปีเริ่มไม่อยากขายทั้งๆที่หาเงินไม่เคยพอค่าใช้จ่ายที่ถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วิธีการแก้ไขของเราคือไปกู้เงินสหกรณ์มาหมุนเวียนใช้จ่ายไปก่อน เราเริ่มมีหนี้สินสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนล่าสุดมาอยู่ที่ 1 ล้านบาท (2560) แต่ก็แปลกที่ในช่วงเวลานั้นเราไม่ค่อยจะพูดถึงการขายบ้านหรือเซ้งร้าน เล่ามาถึงตอนนี้ขอตัดฉากมาทางร้านที่มาบุญครองบ้าง บีบริหารงานไปตามครรลองทั่วไป แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะแย่ลงไปเรื่อยๆรายได้ลดลงมากจะปรับแก้ไขอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นเลย เมื่อเส้นทางการเงินตีบตัน เนื่องจากได้ใช้ทุกช่องทางอย่างสุดความสามารถแล้ว ทีนี้ก็มาถึงการพูดคุยอย่างจริงจัง เรื่องการเซ้งร้านและขายบ้านออกไป เพื่อบรรเทาปัญหาที่ถาโถมกันเข้ามาตลอดเวลา ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นปลายปี 2557 ที่เราเริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงฐานะของร้านและบ้านทะเลาะกันรุนแรงมากขึ้น ปัญหาในตอนนั้นแก้ไขได้ด้วยการขอกู้เงินจากธนาคาร sme สองปีติดๆกันพอถึงปีที่สามบีก็ไม่อยากไปกู้แล้ว เราก็กู้เงินจากสหกรณ์จนเต็มวงเงิน ตรงนี้นี่เองที่ทำให้การขายบ้านเป็นหัวข้อที่เราพูดถึงกันบ่อยขึ้น มากขึ้นทุกที และเริ่มจริงจัง
 
มรสุมชีวิต

ชีวิตเราในช่วงนี้เริ่มรู้สึกถึงความไม่แน่นอนในชีวิต พอประมาณปี 52-59 เป็นช่วงม๊อบการเมือง ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง ติดต่อกันมาตลอดมีเผาห้าง ปิดถนน ชัทดาวน์ การค้าการลงทุนของเราเริ่มส่งสัญญาณว่ามีปัญหาแล้ว เมื่อหลายครั้งเข้าการกู้ยืมเริ่มมีปัญหาติดขัด ต้องหันหน้ามาพูดคุย ปรึกษากัน ตอนนี้เค้าลางหายนะเริ่มมาเยือน บรรยากาศการอยู่ร่วมกันเริ่มไม่ดีแล้ว การเงินมีปัญหา ฝืดเคือง    ช่วงที่บีไปเปิดร้านที่โบ๊เบ๊ตอนนั้นไปรับของมาจากโรงเกลือ สระแก้ว ขายอยู่ประมาณ 3 เดือนก็ต้องปิดตัวลงไป ประกอบกับมีการปฏิวัติใน 22 พ.ค. 2557 บีเริ่มกลับมาดูแลร้านที่มาบุญครองอย่างจริงจัง แต่ยอดขายยังไม่ดีขึ้น และต่อจากนั้นก็แย่ลงไปเรื่อยๆ ถึงขนาดขายได้วันละ 2,000 บาท ซึ่งตั้งแต่เปิดร้านมา 20 ปีแล้ว ไม่เคยเลยที่จะมียอดขายแบบนี้ เราได้ช่วยกันปรับหาทางแก้ไขทุกทางแล้ว ทั้งการเปลี่ยนเด็กเปลี่ยนสินค้าก็ไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น    ทั้งการให้เพื่อนมาช่วยดูแลและติดตั้งกล้องวงจรปิด ติดระบบไวไฟเชื่อมต่อกล้องกับมือถือ เพื่อตรวจสอบการทำงานของเด็กที่ร้าน ก็ไม่ทำให้สถานการณ์ที่แย่ลงกลับดีขึ้นแต่ประการใด เครียดนะ เครียดมากๆเริ่มหันมามองซึ่งกันและกัน ปรึกษาว่าจะคิดพลิกสถานการณ์ได้ไหมต้องทำอย่างไร แต่เราเองก็ถนัดทำแต่งานราชการ ไม่รู้จะลงไปช่วยขายของ หรือไปคุมร้านได้อย่างไร บอกตรงๆคือไม่คาดคิดว่าปัญหาจะลามมาถึงจุดวิกฤติจนไม่สามารถขยับขยาย ทำอะไรได้อีก

ต่างคนต่างคิดว่าอีกคนอาจแก้ปัญหาได้ ทำให้ไม่แก้ไขหรือปรับเปลี่ยนการทำงาน เคยทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นต่อไป ทำให้ไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ นับเป็นครั้งแรกที่เริ่มหันมาพูดคุย ถึงการขายบ้าน เซ้งร้าน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะแย่ไปบ้าง แต่เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะอับจนหนทางจนถึงกับต้องเปลี่ยนที่อยู่อาศัยจากบ้านหลังแรกของพวกเราที่อยู่กันมานานนับ 10 ปี พวกเราทุกคนรวมทั้งเด็กในบ้านอยู่กันอย่างมีความสุขอบอุ่น ภาคภูมิใจคิดว่าคงกัดฟันผ่อนจนหมดแน่นอน ทำยังไงดีการทำงานของแต่ละคนเริ่มเกิดปัญหาจนออกอาการเครียดมากขึ้นเรื่อยๆจนบางครั้งเราเบลอๆ คิดอะไรไม่ออกใจลอยบ่อยๆ เครียดจนบางครั้งไม่อยากทำงาน คิดถึงแต่ปัญหานี้ ระยะหลังๆมา สังเกตว่าบีก็เริ่มเป็นเหมือนกัน สุขภาพเราเริ่มทรุดโทรมจากอายุที่เพิ่มขึ้น ความเครียด ความกังวลที่เกาะกุมจิตใจแต่ละคน กำลังใจที่หดหายกำลังกายที่อ่อนล้า อยู่กันอย่างหมดหวังสิ้นแรงใจที่จะก้าวเดินต่อไป แต่ชีวิตต้องสู้ต่อไปนะเริ่มดิ้นรนหาหนทางรอดอย่างจริงจังเพื่อช่วยครอบครัวในทุกหนทางที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้ อะไรที่ไม่เคยคิดไม่เคยทำก็ต้องทำเสียสละทุกอย่างเพื่อครอบครัว คิดเพียงว่าเราเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องแก้วิกฤติการณ์ครั้งนี้ให้จงได้เหมือนที่เราได้พาครอบครัวเดินหน้ามาอยู่ในจุดที่สุดแสนจะภาคภูมิใจ
 
เปลี่ยนมุมคิด ชีวิตเปลี่ยน

          เมื่อสถานการณ์ของครอบครัวมาถึงจุดที่หักเหตอนนั้นน่าช่วงปี 2559-2560 เราต้องก้าวออกมาเป็นผู้นำ ต้องใช้สมองคิดแก้ไขสถานการณ์ว่าทำอย่างไรจะแก้ไขปัญหาได้ หลังจากคิดวนเวียนอยู่หลายรอบ ก็ตกผลึกกันว่าเราจะต้องหาคนมาดูแลร้านแทนเราก่อน ซึ่งพอดีที่มีคนมาขอเซ้งร้านพอดี ได้เงินพอสมควร (เกิน 1 ล้านบาท) ตรงนี้เราจะได้เงินมากู้วิกฤติ พอได้เงินก้อนใหญ่มา เราก็คิดกันว่าจะเอาเงินตรงนี้ไปเช่าร้านที่แพลตตตินั่ม พร้อมกันนี้เราก็มองหาโอกาสใหม่ คือเริ่มทำธุรกิจแนวใหม่ เจาะตลาดออนไลน์ ไปหาความรู้ในอินเตอร์เนต ไปอบรมที่เขาจัดอบรมฟรี 
        
ปัญหาบ้าน

ทีนี้ล่ะมาถึงปัญหาใหญ่อีกเรื่องคือเรื่องบ้าน ทำอย่างไรจะขายบ้านได้ไวที่สุด และได้ราคาดีพอ ที่เราจะมีส่วนต่าง มาใช้ประโยชน์เช่น เอาไปวางดาวน์เยอะๆเพื่อซื้อบ้านหลังใหม่ ที่เราพอมีกำลังจะได้มีกำลังผ่อนได้สบายๆ เริ่มค้นคว้าหาข้อมูลเรื่องนี้ ลงเนตขายบ้าน หาความรู้เรื่องที่จะไปคุยกับธนาคาร ทำป้ายประกาศไปติดตามที่ต่างๆที่คิดว่าคนซื้อเขาจะมองเห็น พูดง่ายๆว่าทำทุกอย่าง  ทำทุกวิถีทาง บอกขายผ่านทางเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเพื่อหวังจะขายบ้านได้เร็วๆ เนื่องจากวิเคราะห์อย่างละเอียดถึงผลดีผลเสียแล้ว การปล่อยให้สถานการณ์เรื่องผ่อนบ้านเป็นไปเช่นปัจจุบันนี้ ต่อไปจะยิ่งลำบากมากขึ้น

สรุปฟันธงว่ายังไงก็ต้องขายบ้านแล้วออกไปหาที่อยู่ใหม่ดีกว่า อายุที่เริ่มแตะหลัก 50 /60 ทำให้มุมมองเรื่องนี้เปลี่ยนไป เริ่มมองหาความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น วาดฝันวางแผนสร้างโอกาส ทีละข้อทีละเสต็ปอย่างอดทน ได้แต่หวังเราจะประสบความสำเร็จ และก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง แข็งแรง มีสง่า  มีความภาคภูมิใจ ตอนนี้คิดเพียงว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้ หลายคนต้องทิ้งร้าน ทิ้งบ้าน ทิ้งงาน ทิ้งธุรกิจหนีหายไปตลอดกาล เราต้องทำได้ สู้ต่อไปเพื่อครอบครัว เพื่อคนที่เรารัก เมื่อสบายก็สบายด้วยกัน เมื่อลำบากก็ต้องลำบากด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตลอดไป ---------

          ปรับมุมคิด แก้ไขสถานการณ์อย่างชาญฉลาด

          ตัดฉากมาถึงการหาผู้เซ้งร้าน โชคดีที่ใน ส.ค. 2560 มีแขกชื่อลักกี้ ซึ่งขายสูทอยู่ในห้างมาหลายปีแล้วมาขอเซ้งร้านต่อจากเราและมาบุญครองได้อนุมัติแล้ว ตอนนั้นดีใจมากๆโชคดีจังเราร่วมกันแก้ไขสถานการณ์ได้ไปเรื่องหนึ่งคือเรื่องร้าน  ทีนี้เหลือเรื่องบ้านก็ต้องเร่งจัดการโดยเร็วเหมือนกัน ตอนนั้นลงเว็บไซต์ขายบ้าน ทำป้ายติดประกาศตามที่ต่างๆที่คิดว่าจะมีคนสนใจ เริ่มปรับลดราคาลงมาจนเหลือ 6.9 ล้านบาทซึ่งต่ำสุดแล้ว เนื่องจากมีบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านเบญญาภาขายไปแล้วราคา 6.5 ล้านบาท  ทั้งๆที่ทำเลด้อยกว่าเรามาก  ทีนี้ก็มาเร่งขายให้ได้ไวที่สุด คงจะต้องเหนื่อยกันอีกครั้ง ในการขนย้าย เก็บของ เพื่อย้ายไปอยู่ที่ใหม่เรานึกภาพอนาคตแล้ว ยังไม่รู้ว่าถ้าถึงตอนนั้น จะขายบ้านได้เท่าไร เหลือเงินส่วนต่างเท่าไร และจะย้ายบ้านไปอยู่ที่ไหน จริงๆแล้วหากมีคนตกลงจะซื้อก็ดีใจมากแล้ว เรื่องอื่นๆเอาไว้ค่อยคิดภายหลังแล้วกัน
         
เริ่มมองอนาคตอย่างจริงจัง อยากไปใช้ชีวิตอิสระ

เนื่องจากที่ทางในราชการของเราในปัจจุบันนี้ก็เลือนราง ทำให้ต้องเริ่มวางแผนไปถึงอนาคตในการทำงานราชการ ว่าอีก 3 ปี 5 ปี ข้างหน้าเราจะทำอย่างไรต่อไป ราชการช่วยอะไรได้บ้าง ถ้าไม่ทำจะอยู่ได้ไหม หรือจะอดทนจะทำต่อไปเรื่อยๆทั้งๆที่มองไม่เห็นอนาคต หรือจะหาทางผ่อนผัน ขยับขยาย เปลี่ยนเส้นทางเดินชีวิตไปในแนวทางอื่นที่เราน่าจะทำได้โดยมีหลักคิดว่า หากเราสามารถหารายได้   ได้มากพอหรือเท่ากับที่ทำงานราชการ น่าจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเราคิดโดยที่ไม่ได้บอกใครหรือปรึกษาใครเลย ได้แต่เกริ่นๆกับเพื่อนสนิทบ้าง แต่ครอบครัวยังไม่มีใครทราบว่าเราคิดอย่างไรกับงานราชการที่กำลังทำอยู่ทุกวัน บางครั้งความสุขในการทำงานก็ควรจะมาก่อนเรื่องอื่นมิใช่หรือ การฝืนทำอะไรโดยไม่มีความสุขอยู่ทุกวันตลอดมาหลายๆปี ย่อมไม่เกิดผลดีต่อเราในระยะยาวอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลที่เกิดขึ้นกับจิตใจ

----------------------------------------------------

         

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น